โรคเปลือกเน่า กับการรักษายางตายนึ่งด้วยฟิวส์ชั่น3+ฟูลพาวเวอร์
โพสต์แล้ว: อังคาร 11 มิ.ย. 2013 7:34 am
จากทีมงานที่ลงพื้นที่นะครับ
มีการแจ้งข่าวมาว่าใช้ ฟิวส์ชั่น3+ฟูลพาวเวอร์ รักษายางตายนึ่ง แล้วต้นยาง มีอาการเปลือกหลุดล่อนออกมา
จนทำให้ต้นยางกรีดไม่ได้
ก่อนอื่นผมขออธิบาย โรคเปลือกเน่าในยางพาราก่อนนะครับ อ้างอิงจากกรมวิชาการเกษตรนะครับ
โรคเปลือกเน่า (Mouldy rot) เป็นโรคที่ปรากฏบนหน้ากรีดในสวนยางพาราที่มีสภาพอากาศชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา หรือในสวนยางที่มีลักษณะทึบ ปลูกถี่โรคนี้ระบาดรุนแรงในบางพื้นที่ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร
สาเหตุของโรคเปลือกเน่ายางพารา
เกิดจากเชื้อรา Ceratocystis fimbriata Ellis & Halst.
ลักษณะอาการของโรคเปลือกเน่ายางพารา
เปลือกงอกใหม่เหนือรอยกรีดมีลักษณะฉ่ำน้ำเป็นรอยซ้ำสีหม่น ต่อมาเปลือกเน่ายุบและปรากฏเส้นใยของเชื้อราสีขาวเทาเจริญตรงรอยแผล ถ้าอากาศชื้นเชื้อราจะเจริญปกคลุมเป็นแถบขนานกับรอยกรีดยางอย่างรวดเร็ว ทำให้เปลือกที่หน้ากรีดยางเน่า หลุดออก เห็นแต่เนื้อไม้สีดำ เมื่อเฉือนเปลือกบริเวณรอยบุบและบริเวณข้างเคียงรอยแผลออกดูจะไม่พบอาการเน่าลุกลามออกไป และไม่พบรอยสีดำที่เนื้อไม้ได้แผล ซึ่งต่างจากโรคเส้นดำ
การแพร่ระบาดของโรคเปลือกเน่า
สปอร์แพร่ระบาดโดยลม และแมลงเป็นพาหะนำไป นอกจากนี้ยังพบว่ามีการระบาดของโรคผ่านทางมีดกรีดยาง เชื้อราเจริญได้ดีในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง
พืชอาศัยของเชื้้อสาเหตุโรคเปลือกเน่า
กาแฟ โกโก้ มะม่วง พืชตระกูลถั่ว มะพร้าว มันฝรั่ง
การป้องกันกำจัดโรคเปลือกเน่า
ไม่ควรปลูกพืชอาศัยเป็นพืชร่วมยางพารา หรือพืชแซมยางพารา
ตัดแต่งกิ่งก้าน กำจัดวัชพืชให้โล่งเตียน และไม่ควรปลูกยางพาราให้หนาแน่นจนเกินไป เพื่อลดความชื้นในสวนยางพารา
เมื่อต้นยางพาราเป็นโรค ให้ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราทาหน้ากรีดยาง โดยขูดเอาส่วนที่เป็นโรคออกแล้วทาสารเคมีจนกว่าหน้ากรีดยางจะแห้งเป็นปกติ
เบโนมิล(benomyl) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น เบนเลท 50% WP โดยใช้ในอัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ผสมสารจับใบ 2 ซีซี พ่นหรือทาหน้ากรีดยาง
ออกซาไดซิล+ แมนโคเชบ(oxadixyl+ mancozeb) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น แชนโดแฟน-เอ็ม 10 + 56% WP โดยใช้ในอัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทุก 7 วัน อย่างน้อย 4 ครั้ง
ไธอะเบนดาโซล(thiabendazole) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น พรอนโด 40% WP โดยใช้ในอัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
เมทาแลกซิล(metalaxyl) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น เอพรอน 35% SD โดยใช้ในอัตรา 14 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
หมายเหตุ: อ้างอิงข้อมูลจาก โรคและศัตรูยางพาราที่สำคัญในประเทศไทย, สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2549
มีการแจ้งข่าวมาว่าใช้ ฟิวส์ชั่น3+ฟูลพาวเวอร์ รักษายางตายนึ่ง แล้วต้นยาง มีอาการเปลือกหลุดล่อนออกมา
จนทำให้ต้นยางกรีดไม่ได้
ก่อนอื่นผมขออธิบาย โรคเปลือกเน่าในยางพาราก่อนนะครับ อ้างอิงจากกรมวิชาการเกษตรนะครับ
โรคเปลือกเน่า (Mouldy rot) เป็นโรคที่ปรากฏบนหน้ากรีดในสวนยางพาราที่มีสภาพอากาศชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา หรือในสวนยางที่มีลักษณะทึบ ปลูกถี่โรคนี้ระบาดรุนแรงในบางพื้นที่ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดชุมพร
สาเหตุของโรคเปลือกเน่ายางพารา
เกิดจากเชื้อรา Ceratocystis fimbriata Ellis & Halst.
ลักษณะอาการของโรคเปลือกเน่ายางพารา
เปลือกงอกใหม่เหนือรอยกรีดมีลักษณะฉ่ำน้ำเป็นรอยซ้ำสีหม่น ต่อมาเปลือกเน่ายุบและปรากฏเส้นใยของเชื้อราสีขาวเทาเจริญตรงรอยแผล ถ้าอากาศชื้นเชื้อราจะเจริญปกคลุมเป็นแถบขนานกับรอยกรีดยางอย่างรวดเร็ว ทำให้เปลือกที่หน้ากรีดยางเน่า หลุดออก เห็นแต่เนื้อไม้สีดำ เมื่อเฉือนเปลือกบริเวณรอยบุบและบริเวณข้างเคียงรอยแผลออกดูจะไม่พบอาการเน่าลุกลามออกไป และไม่พบรอยสีดำที่เนื้อไม้ได้แผล ซึ่งต่างจากโรคเส้นดำ
การแพร่ระบาดของโรคเปลือกเน่า
สปอร์แพร่ระบาดโดยลม และแมลงเป็นพาหะนำไป นอกจากนี้ยังพบว่ามีการระบาดของโรคผ่านทางมีดกรีดยาง เชื้อราเจริญได้ดีในสภาพอากาศที่มีความชื้นสูง
พืชอาศัยของเชื้้อสาเหตุโรคเปลือกเน่า
กาแฟ โกโก้ มะม่วง พืชตระกูลถั่ว มะพร้าว มันฝรั่ง
การป้องกันกำจัดโรคเปลือกเน่า
ไม่ควรปลูกพืชอาศัยเป็นพืชร่วมยางพารา หรือพืชแซมยางพารา
ตัดแต่งกิ่งก้าน กำจัดวัชพืชให้โล่งเตียน และไม่ควรปลูกยางพาราให้หนาแน่นจนเกินไป เพื่อลดความชื้นในสวนยางพารา
เมื่อต้นยางพาราเป็นโรค ให้ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราทาหน้ากรีดยาง โดยขูดเอาส่วนที่เป็นโรคออกแล้วทาสารเคมีจนกว่าหน้ากรีดยางจะแห้งเป็นปกติ
เบโนมิล(benomyl) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น เบนเลท 50% WP โดยใช้ในอัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ผสมสารจับใบ 2 ซีซี พ่นหรือทาหน้ากรีดยาง
ออกซาไดซิล+ แมนโคเชบ(oxadixyl+ mancozeb) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น แชนโดแฟน-เอ็ม 10 + 56% WP โดยใช้ในอัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ทุก 7 วัน อย่างน้อย 4 ครั้ง
ไธอะเบนดาโซล(thiabendazole) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น พรอนโด 40% WP โดยใช้ในอัตรา 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
เมทาแลกซิล(metalaxyl) ที่พบและมีจำหน่ายในชื่อการค้า เช่น เอพรอน 35% SD โดยใช้ในอัตรา 14 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร
หมายเหตุ: อ้างอิงข้อมูลจาก โรคและศัตรูยางพาราที่สำคัญในประเทศไทย, สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2549