ยาร้อน-ยาเย็น ดูยังไง ในฉลากก็ไม่บอก???
โพสต์แล้ว: เสาร์ 07 ก.ย. 2019 8:09 pm
ยาร้อน-ยาเย็น ดูยังไง ในฉลากก็ไม่บอก???
ยาร้อน เป็นภาษาชาวบ้าน พ่นยาไปแล้วทำให้พืชใบใหม้ ดอกร่วง ถ้าเป็นภาษาวิชาการเรียก ความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity)
ทีนี้ความเป็นพิษต่อพืชของสารฆ่าแมลง มีปัจจัยที่เกี่ยวของอะไรบ้าง
1. สูตรของยา ยาสูตรEC เป็นสูตรทีมีส่วนผสมของน้ำมันเยอะกว่าสูตรอื่น จึงมีโอกาสเกิดพิษมากกว่าสูตรอื่น อีกสูตรคือ WP(ยาผง) เนื่องจากสูตรนี้สารออกฤทธิ์เป็นผงไม่ละลายน้ำ ใช้แค่หลักการแขวนลอยในน้ำ(นึกภาพเหมือนตะกอนโคลนในโอ่ง) เวลาเราฉีดยาถ้าฉีดเยอะน้ำยาจะไหลลงปลายใบทำให้บริเวณปลายได้รับยาเข้มข้นมาก(ปลายใบใหม้ได้) ส่วนสูตรอื่นๆปลอดภัยดีกว่า2สูตรนี้
2. ส่วนของสารออกฤทธิ์เอง(เนื้อยา) สารที่มีสูตรโครงสร้างมาจากกลุ่มเบนซอยยูเรีย เช่น ไดฟลูเบนซูรอน คลอร์ฟลูอาซูรอน โนวาลูรอน ลูเฟนนูรอน ฯลฯ กลุ่มนี้ถ้าใช้อัตราสูงอาจเป็นพิษกับพืชช่วงออกดอก ติดผล โดยเฉพาะผลไม้ที่มีไขหรือมีนวลผิว
3. อัตราความเข้มข้น ถ้าหากใช้ยาหลายตัวความเข้นข้นสูงเกินกว่าพืชจะรับได้ พืชก็แสดงอาการเกิดพิษได้
4. ความถี่ในการพ่น พ่นยาถี่เกินไป สารเคมีจัดเป็นสิ่งแปลกปลอมของพืช เมื่อพืชได้รับเข้าไป จะมีการขับออกมาทางปากใบ(พร้อมการคายน้ำ) จะนานกี่วันขึ้นอยู่กับค่าครึ่งชีวิตของสารนั้น รวมถึงสภาพแวดล้อม(แสงแดด น้ำฝน หรือการให้น้ำ) ถ้าพืชยังขับสารเก่าออกมาไม่หมดแต่เราพ่นซ้ำเติมสารเข้าไปเพิ่ม ก็เกิดพิษได้
5. ช่วงอายุของพืช ช่วงวิกฤติของพืชคือ ช่วงออกดอก ติดผลอ่อน (ข้าวช่วงตั้งท้องออกรวง) ช่วงแล้งพืชขาดน้ำ การพ่นยาบางตัวช่วงนี้อาจเกิดการเป็นพิษได้
6. การผสมสารหลายชนิดเกินไป การผสมสารหลายชนิดอาจทำให้เกิดพิษกับพืชได้ เช่น การผสมสารกำมะถัน(ซัลเฟอร์ : S เป็นธาตุที่มีคุณสมบัติร้อน ใช้ทำดินปืนไง) หรือ สารเคมีกลุ่มออแกโนฟอสเฟตที่มีองค์ประกอบของซัลเฟอร์ เช่น ไดเมโทเอต โอเมโธเอต เฟนโธเอต โปรฟีโนฟอส คลอร์ไพริฟอส ไตรอะโซฟอส เป็นต้นสารกลุ่มออแกโนฟอสเฟต กับพวก ไวท์ออย ปิโตรเลียมออยด์ ทำให้เกิดพิษได้ หรือการผสมสารสูตรEC ถ้าผสมกันหลายตัว ก็อาจทำให้เกิดพิษได้
7. สภาพแวดล้อมขณะพ่น เช่น พ่นตอนแดดจัดอากาศร้อน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดพิษกับพืชได้(ตอนแดดจัดอากาศร้อนพืชจะคายน้ำเยอะเพื่อรักษาอุณหภูมิในใบ ไม่ให้ร้อนเกิน(เหมือนคนเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อน) ให้ให้พืชใบเหี่ยว พอได้รับสารเคมีเข้าไป น้ำในใบพืชน้อยทำให้ยาเข้มข้นกว่าช่วงที่พืชไม่เหี่ยว จึงเกิดความเป็นพิษได้
จะเห็นได้ว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้สารเคมีที่เราพ่น มีความเป็นพิษต่อพืช เพราะฉะนั้น การจะไปถามหายาร้อน ยาเย็น จากร้านขายเคมีเกษตร บางทีเขาบอกเป็นยาเย็นแต่เอามาฉีดแล้วพืชใบใหม้ อันนี้ต้องพิจารณาจากองค์ประกอบทั้งเจ็ดข้อที่กล่าวมาด้วย ทางร้านเองถ้าจะขายยาที่มีความเสี่ยงว่าเป็นยาร้อน(ตามข้อ1และ2) ควรจะสอบถามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตด้วย เพราะตัวทำละลายหรือEC ของแต่ละบริษัทอาจจะมีคุณภาพแตกต่างกัน น่าจะมีหลายเกรดนะ หรือ ทางบริษัทผู้ผลิตเอง ควรจะให้ข้อมูลการใช้ในแต่ละพืชแก่ร้านค้าด้วย เนื่องจากแต่ละพืชมีความทนทานไม่เท่ากัน เพราะว่าฉลากยาส่วนใหญ่จะบอกไว้แค่พืชชนิดเดียว
*** สำหรับชาวนา ข้าวเป็นพืชไร่ ค่อนข้างจะทน กว่าพืชสวน ไม้ดอก พืชผัก ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเทียบกันของแต่ละพันธุ์ จะให้ข้อสังเกตุไว้หน่อย เช่น พันธุ์ที่ใบใหญ่อย่าง กข49 ใบใหม้ง่ายกว่าพันธุ์อื่นนะ
ส่วนยาที่คนฉีดบอกร้อน แสบ ผิวหนังจะเป็นยาน๊อค กลุ่มไพรีทรอยด์(กลุ่ม3)ซึ่ง จะมีสารอยู่ตัวนึงชื่อ ไซยาโนกรุ๊ปเป็นองค์ประกอบอยู่ เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้ผิวหนังเราแสบ ร้อน ซึ่งบางคนเอาไปโยงว่าเป็นยาร้อนร้อนผิวคน กับร้อนพืชไม่เหมือนกันนะ(ยาน๊อค ที่ไม่มีไซยาโน กรุ๊ปคือ ไบเฟนทริน ไม่ร้อน แสบผิว)
ยาร้อน เป็นภาษาชาวบ้าน พ่นยาไปแล้วทำให้พืชใบใหม้ ดอกร่วง ถ้าเป็นภาษาวิชาการเรียก ความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity)
ทีนี้ความเป็นพิษต่อพืชของสารฆ่าแมลง มีปัจจัยที่เกี่ยวของอะไรบ้าง
1. สูตรของยา ยาสูตรEC เป็นสูตรทีมีส่วนผสมของน้ำมันเยอะกว่าสูตรอื่น จึงมีโอกาสเกิดพิษมากกว่าสูตรอื่น อีกสูตรคือ WP(ยาผง) เนื่องจากสูตรนี้สารออกฤทธิ์เป็นผงไม่ละลายน้ำ ใช้แค่หลักการแขวนลอยในน้ำ(นึกภาพเหมือนตะกอนโคลนในโอ่ง) เวลาเราฉีดยาถ้าฉีดเยอะน้ำยาจะไหลลงปลายใบทำให้บริเวณปลายได้รับยาเข้มข้นมาก(ปลายใบใหม้ได้) ส่วนสูตรอื่นๆปลอดภัยดีกว่า2สูตรนี้
2. ส่วนของสารออกฤทธิ์เอง(เนื้อยา) สารที่มีสูตรโครงสร้างมาจากกลุ่มเบนซอยยูเรีย เช่น ไดฟลูเบนซูรอน คลอร์ฟลูอาซูรอน โนวาลูรอน ลูเฟนนูรอน ฯลฯ กลุ่มนี้ถ้าใช้อัตราสูงอาจเป็นพิษกับพืชช่วงออกดอก ติดผล โดยเฉพาะผลไม้ที่มีไขหรือมีนวลผิว
3. อัตราความเข้มข้น ถ้าหากใช้ยาหลายตัวความเข้นข้นสูงเกินกว่าพืชจะรับได้ พืชก็แสดงอาการเกิดพิษได้
4. ความถี่ในการพ่น พ่นยาถี่เกินไป สารเคมีจัดเป็นสิ่งแปลกปลอมของพืช เมื่อพืชได้รับเข้าไป จะมีการขับออกมาทางปากใบ(พร้อมการคายน้ำ) จะนานกี่วันขึ้นอยู่กับค่าครึ่งชีวิตของสารนั้น รวมถึงสภาพแวดล้อม(แสงแดด น้ำฝน หรือการให้น้ำ) ถ้าพืชยังขับสารเก่าออกมาไม่หมดแต่เราพ่นซ้ำเติมสารเข้าไปเพิ่ม ก็เกิดพิษได้
5. ช่วงอายุของพืช ช่วงวิกฤติของพืชคือ ช่วงออกดอก ติดผลอ่อน (ข้าวช่วงตั้งท้องออกรวง) ช่วงแล้งพืชขาดน้ำ การพ่นยาบางตัวช่วงนี้อาจเกิดการเป็นพิษได้
6. การผสมสารหลายชนิดเกินไป การผสมสารหลายชนิดอาจทำให้เกิดพิษกับพืชได้ เช่น การผสมสารกำมะถัน(ซัลเฟอร์ : S เป็นธาตุที่มีคุณสมบัติร้อน ใช้ทำดินปืนไง) หรือ สารเคมีกลุ่มออแกโนฟอสเฟตที่มีองค์ประกอบของซัลเฟอร์ เช่น ไดเมโทเอต โอเมโธเอต เฟนโธเอต โปรฟีโนฟอส คลอร์ไพริฟอส ไตรอะโซฟอส เป็นต้นสารกลุ่มออแกโนฟอสเฟต กับพวก ไวท์ออย ปิโตรเลียมออยด์ ทำให้เกิดพิษได้ หรือการผสมสารสูตรEC ถ้าผสมกันหลายตัว ก็อาจทำให้เกิดพิษได้
7. สภาพแวดล้อมขณะพ่น เช่น พ่นตอนแดดจัดอากาศร้อน มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดพิษกับพืชได้(ตอนแดดจัดอากาศร้อนพืชจะคายน้ำเยอะเพื่อรักษาอุณหภูมิในใบ ไม่ให้ร้อนเกิน(เหมือนคนเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อน) ให้ให้พืชใบเหี่ยว พอได้รับสารเคมีเข้าไป น้ำในใบพืชน้อยทำให้ยาเข้มข้นกว่าช่วงที่พืชไม่เหี่ยว จึงเกิดความเป็นพิษได้
จะเห็นได้ว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้สารเคมีที่เราพ่น มีความเป็นพิษต่อพืช เพราะฉะนั้น การจะไปถามหายาร้อน ยาเย็น จากร้านขายเคมีเกษตร บางทีเขาบอกเป็นยาเย็นแต่เอามาฉีดแล้วพืชใบใหม้ อันนี้ต้องพิจารณาจากองค์ประกอบทั้งเจ็ดข้อที่กล่าวมาด้วย ทางร้านเองถ้าจะขายยาที่มีความเสี่ยงว่าเป็นยาร้อน(ตามข้อ1และ2) ควรจะสอบถามข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตด้วย เพราะตัวทำละลายหรือEC ของแต่ละบริษัทอาจจะมีคุณภาพแตกต่างกัน น่าจะมีหลายเกรดนะ หรือ ทางบริษัทผู้ผลิตเอง ควรจะให้ข้อมูลการใช้ในแต่ละพืชแก่ร้านค้าด้วย เนื่องจากแต่ละพืชมีความทนทานไม่เท่ากัน เพราะว่าฉลากยาส่วนใหญ่จะบอกไว้แค่พืชชนิดเดียว
*** สำหรับชาวนา ข้าวเป็นพืชไร่ ค่อนข้างจะทน กว่าพืชสวน ไม้ดอก พืชผัก ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเทียบกันของแต่ละพันธุ์ จะให้ข้อสังเกตุไว้หน่อย เช่น พันธุ์ที่ใบใหญ่อย่าง กข49 ใบใหม้ง่ายกว่าพันธุ์อื่นนะ
ส่วนยาที่คนฉีดบอกร้อน แสบ ผิวหนังจะเป็นยาน๊อค กลุ่มไพรีทรอยด์(กลุ่ม3)ซึ่ง จะมีสารอยู่ตัวนึงชื่อ ไซยาโนกรุ๊ปเป็นองค์ประกอบอยู่ เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้ผิวหนังเราแสบ ร้อน ซึ่งบางคนเอาไปโยงว่าเป็นยาร้อนร้อนผิวคน กับร้อนพืชไม่เหมือนกันนะ(ยาน๊อค ที่ไม่มีไซยาโน กรุ๊ปคือ ไบเฟนทริน ไม่ร้อน แสบผิว)